วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2557

นโยบายความปลอดภัย


    นโยบายความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน
  • 1.ส่งเสริมและสนับสนุนการดำเนินงานในการขจัดและป้องกันอุบัติภัยทุกประเภทที่เป็นอันตราย ต่อพนักงานและทรัพย์สินของบริษัทฯ
  • 2ปฏิบัติตามข้อกำหนดของกฎหมาย และข้อกำหนดของลูกค้าอย่างถูกต้องเหมาะสม
  • 3.จัดให้มีการฝึกอบรมและการจูงใจพนักงานทุกระดับ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุและอันตรายในการทำงาน
  • 4.จัดให้มีอุปกรณ์คุ้มครองความปลอดภัยให้แก่พนักงาน ให้ครบถ้วนตามสภาพงานและตามความจำเป็น พร้อมทั้งอุปกรณ์ป้องกันอันตราย ส่วนที่เป็นอันตรายของเครื่องจักร
  • 5.พนักงานทุกคนมีหน้าที่ให้ความร่วมมือในการป้องกันอุบัติเหตุ ตลอดจนการรักษาความสะอาด และ ความเป็นระเบียบเรียบร้อยในสถานที่ทำงานของตนเองอยู่เสมอ
  • 6.ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้นมีหน้าที่ในการแนะนำฝึกสอน ดูแล และควบคุมให้เกิดการปฏิบัติงานที่มี   ความปลอดภัยสูงสุดแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา
  • 7.พนักงานทุกคนคือทรัพยากรที่สำคัญยิ่งที่บริษัทฯ ต้องรับผิดชอบดูแล รวมทั้งการส่งเสริมสุขภาพ   อนามัยที่ดีให้กับทุกคน



การเกิดอุบัติเหตุจากการทำงาน

การเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากการทำงาน
ความปลอดภัย (Safety)
หมายถึง : การป้องกันอุบัติเหตุ การบาดเจ็บ โดย อาศัยหลักการ วิชาการ เทคโนโลยีด้านต่างๆ เพื่อ สืบค้นหาปัญหา อันตรายต่างๆ และ หาทางขจัดอุบัติเหตุที่จะเกิดขึ้น
** การป้องกันความสูญเสีย (Loss Prevention)
ขั้นตอนการดำเนินการ เพื่อหาทางลดความรุนแรงของอุบัติเหตุ และหาทางควบคุมความสูญเสีย
1. การสืบค้นหาอันตราย (Hazard Identification)
2. การใช้เทคนิคในการประเมินหาขนาดของอันตราย (Technical Evaluation)
3. การออกแบบด้านวิศวกรรม (Engineering Design)
อุบัติเหตุ (Accidents)
หมายถึง : เหตุการณ์ อุบัติการณ์ ทุกชนิด
: ไม่ได้คาดคิดมาก่อน
: ไม่ได้วางแผน / ตั้งใจ
ก่อให้เกิดความเสียหาย ต่อ ชีวิต ทรัพสิน ทรัพยากรต่างๆ
อุบัติเหตุจากการทำงาน (Occupational Accident)
หมายถึง : อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในภาวะการจ้างงาน ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อ ชีวิตคน เครื่องจักร สิ่งของ ในเวลา ทันทีทันใด / ช่วงเวลาถัดไปในสถานที่ทำงาน / นอกสถานที่ทำงาน
สาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ
H.W. Heinrich สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ มี 3 ประการ คือ
1. สาเหตุจากคน (Human causes) มีจำนวนถึง 88%
2. สาเหตุจากความผิดพลาดของเครื่องจักร (Mechanical failure) มีจำนวนถึง 10%
3. สาเหตุที่เกิดจากดวงชะตา (Act of god) มีเพียง 2%
สรุปสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุ
ที่สำคัญมี 2 ประการ คือ
1. การกระทำที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe act) เป็นสาเหตุใหญ่ คิดจำนวนเป็น 85% ของการเกิดอุบัติเหตุทั้งหมด
2. สภาพการณ์ที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe condition) เป็นสาเหตุรอง คิดจำนวนเป็น 15% ของการเกิดอุบัติเหตุทั้งหมด
การกระทำที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe Act)
หมายถึง การกระทำหรือการปฏิบัติงานของคนที่มีผลทำให้เกิดความไม่ปลอดภัยกับตนเองและผู้อื่น เช่น
* การทำงานไม่ถูกวิธี หรือไม่ถูกขั้นตอน เช่น ยกของด้วยท่าทางที่ผิด
* ความประมาท พลั้งเผลอ เหม่อลอย
* ถอดเครื่องกำบังเครื่องจักร
* ใช้เครื่องมือไม่เหมาะสมกับงาน
* การไม่ปฏิบัติตามกฎระเบียบ
* การมีทัศนคติที่ไม่ถูกต้อง เช่น อุบัติภัยเป็นเรื่องของเคราะห์กรรมแก้ไขป้องกันไม่ได้
* การทำงานโดยที่ร่างกายและจิตใจไม่พร้อมหรือผิดปกติ เช่น ไม่สบาย เมาค้าง มีปัญหาครอบครัว ทะเลาะกับแฟน เป็นต้น
* การใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ต่างๆไม่เหมาะสมกับงานเช่นการใช้ขวดแก้วตอกตะปูแทนการใช้ค้อน ฯลฯ
สภาพงานที่ไม่ปลอดภัย (Unsafe Condition)
หมายถึง สภาพของโรงงานอุตสาหกรรม เครื่องจักร กระบวนการผลิต เครื่องยนต์ อุปกรณ์ในการผลิต ไม่มีความปลอดภัยเพียงพอ เช่น
* การออกแบบโรงงาน แผนผังโรงงาน
* ระบบความปลอดภัยไม่มีประสิทธิภาพ ไม่มีอุปกรณ์ด้านความปลอดภัย ส่วนที่เป็นอันตราย (ส่วนที่เคลื่อนไหว) ของเครื่องจักรไม่มีเครื่องกำบังหรืออุปกรณ์ป้องกันอันตราย
* เครื่องจักรกล เครื่องมือ หรืออุปกรณ์ชำรุดบกพร่อง ขาดการซ่อมแซมหรือบำรุงรักษาอย่างเหมาะสม
* สภาพแวดล้อมในการทำงานไม่เหมาะสม เช่น
- แสงสว่างไม่เพียงพอ
- เสียงดังเกินควร
- ความร้อนสูง
- ฝุ่นละออง
- ไอระเหยของสารเคมีที่เป็นพิษ เป็นต้น
การสูญเสียเนื่องจากการเกิดอุบัติเหตุ
1. การสูญเสียโดยทางตรง การสุญเสียที่คิดเป็นเงินที่ต้องจ่ายโดยตรง
2. การสูญเสียโดยทางอ้อม การสูญเสียที่แฝงอยู่ ไม่ปรากฏเด่นชัด

ความรู้เกียวกับอุบัติเหตุในการทำงาน

                             ความปลอดภัยในการทำงาน 

          การพัฒนาทัศนคติและนิสัยในการทำงานด้วยความปลอดภัยเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่งในการประกอบอาชีพ ความปลอดภัยจึงนับได้ว่าเป็นหัวใจของการทำงาน ผู้ที่ปฏิบัติงานได้ดีจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องระมัดระวังเรื่องความปลอดภัยอยู่เสมอ จากการสำรวจบุคคลที่ได้รับอันตรายจากการทำงานส่วนใหญ่มักขาดความเอาใจใส่ในเรื่องความปลอดภัย จึงก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายและชีวิตของตนเอง เพื่อนร่วมงานและทรัพย์สิน ดังนั้นเราจึงจำเป็นที่จะต้องเข้าใจ และปฏิบัติตามหลักความปลอดภัยโดยเคร่งครัด แล้วเราจะปลอดภัยจากอันตรายหรืออุบัติเหตุต่าง ๆ
สาเหตุของอุบัติเหตุจากการทำงาน
      ” อุบัติเหตุ " หมายถึง สิ่งที่ไม่ได้คาดไว้ล่วงหน้า ไม่ได้ควบคุมหรือไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้นมาได้
อุบัติเหตุจากการทำงานเป็นเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นได้โดยไม่คาดคิด อันเป็นผลมาจากการกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สาเหตุโดยทั่วไปของอุบัติเหตุอาจแบ่งได้ดังนี้
1.ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ มักเกิดกับบุคคลที่เข้าทำงานใหม่ ๆ หรือเข้าทำงานกับเครื่องมือ เครื่องจักรใหม่ โดยที่ไม่ได้รับคำอธิบายถึงการปฏิบัติและการทำงานของเครื่องมือเครื่องจักรโดยละเอียดจึงมักจะทำให้เกิดอุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อย ๆ การสอนเกี่ยวกับความปลอดภัยยังไม่ดีพอ กฎความปลอดภัยไม่มีผลบังคับใช้ ไม่ได้วางแผนงานความปลอดภัยไว้เป็นส่วนหนึ่งของงาน จุดอันตรายต่าง ๆ ไม่ได้ทำการแก้ไข อุปกรณ์ความปลอดภัยไม่ได้จัดให้ ขาดความรู้หรือไม่ได้ตระหนักในเรื่องความปลอดภัย
2. ความประมาท เกิดจากมีความเชื่อมั่นมากเกินไปเนื่องจากทำงานมานาน การละเลยไม่เอาใจใส่หรือมีทัศนคติผิด ๆในเรื่องความปลอดภัย เครื่องป้องกันอันตรายหรือเครื่องกั้นจัดไว้ให้ แต่ไม่ใช้หรือถอดออก ใช้เครื่องมือเครื่องใช้ไม่ถูกต้องกับลักษณะของงานที่ทำ ถึงแม้ว่าจะมีเครื่องมือที่ถูกต้องให้เลือกใช้ได้เหมาะสมก็ตาม ยกของด้วยวิธีผิด ๆ จนน่าจะเกิดอันตราย อริยาบทในการเคลื่อนไหวน่าจะเกิดอันตราย เช่น การเดิน การวิ่ง การกระโดด การก้าว การปีนป่าย การหยอกล้อ หรือล้อเล่นในระหว่างการทำงาน
3. สภาพร่างกายของบุคคล เมื่อยล้า เนื่องจากทำงานตลอดเวลาโดยไม่มีการหยุดพัก อ่อนเพลีย เนื่องจากไม่สบายเป็นไข้ แล้วเข้าทำงานหนัก หูหนวกสายตาไม่ดี โรคหัวใจ สภาพร่างกายไม่เหมาะกับงาน
4. สภาพจิตใจของบุคคล ขาดความความตั้งใจในการทำงาน ขากความสามารถในการควบคุมอารมณ์ในขณะทำงาน ตื่นเต้นง่าย ขวัญอ่อน ตกใจง่าย
5. อุปกรณ์เครื่องมือ เครื่องจักร มีข้อบกพร่อง อาจเนื่องจากสาเหตุ เช่น ใช้เครื่องมือไม่ถูกขนาด ใช้เครื่องมือที่สึกหรอชำรุด ทื่งอ หัก ใช้เครื่องมือที่ปราศจากด้ามหรือที่จับที่เหมาะสม ไม่ใช้เครื่องป้องกันอันตราย จับตั้งงานไม่ได้ขนาด และไม่มั่นคง ละเลยต่อการบำรุงรักษา เช่น น้ำมันหล่อลื่นไม่เพียงพอ
6. สภาพของบริเวณปฏิบัติงานที่ไม่ปลอดภัย เช่น แสงสว่างไม่เพียงพอ เสียงดังมากเกินไป การระบายอากาศที่ไม่เหมาะสม ความสกปรก บริเวณที่คับแคบ มีสารเคมี และเชื้อเพลิง พื้นที่ลื่น เนื่องจากคราบน้ำมัน หลุมและสิ่งกีดขวางทางเดิน การสูญเสียเนื่องจากการเกิดอุบัติเหตุ การที่เกิดอุบัติเหตุขึ้นแต่ละครั้งย่อมหมายถึงการสูญเสียเกิดขึ้นทุกครั้ง เช่น การสูญเสียเงิน สูญเสียเวลา อย่างไรก็ดี คงไม่มีผู้ใดปรารถนาจะให้มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น
1.การสูญเสียโดยตรง
ได้รับบาดเจ็บ พิการ หรือตาย และอาจทำให้ผู้อื่นได้รับอันตรายด้วย ทำให้อุปกรณ์ เครื่องมือ เครื่องจักร ตลอดจนทรัพย์สินอื่น ๆชำรุดเสียหาย การสูญเสียที่คิดเป็นเงินที่นายจ้างหรือรัฐบาลต้องจ่ายโดยตรง ให้แก่ผู้ที่ได้รับอุบัติเหตุจากการทำงาน เช่น ค่ารักษาพยาบาล เงินทดแทนที่ต้องจ่ายโดยรัฐหรือโรงงาน ค่าทำขวัญ
2. การสูญเสียโดยทางอ้อม
คือ การสูญเสียซึ่งมักจะคิดไม่ถึง หรือไม่ค่อยได้คิดว่าเป็นการสูญเสียเป็นลักษณะการสูญเสียที่แฝงอยู่ไม่ปรากฏเด่นชัด เช่น สูญเสียแรงงานของลูกจ้างที่ได้รับบาดเจ็บ จะต้องใช้เวลาพักฟื้นจนกว่าจะหาย สูญเสียเวลาของลูกจ้างคนอื่น ๆ ซึ่งหยุดทำงานในขณะเกิดอุบัติเหตุด้วยเหตุผลต่อไปนี้ ความอยากรู้อยากเห็นเข้าไปมุงดู ซักถามเหตุการณ์ด้วยความเห็นใจลูกจ้างผู้บาดเจ็บ ตื่นเต้น หรือช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในการทำปฐมพยาบาลหรือนำส่งโรงพยาบาล สูญเสียเวลาของแพทย์หรือพยาบาล หรือเจ้าหน้าที่อื่น ๆ ในการปฐมพยาบาล ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเครื่องจักรกล เครื่องมือ ทำให้ปริมาณผลผลิตขาดหายไป ผลิตให้ผู้ใช้ไม่ทันเวลา เงินรางวัล โบนัสประจำปีลดน้อยลงไป สูญเสียผลกำไรส่วนหนึ่งไป เนื่องจากลูกจ้างบาดเจ็บและเครื่องจักรหยุดทำงาน ทำให้คนงานขวัญเสีย เกิดความกลัว ประสิทธิภาพการทำงานลดลง
อันตรายจากสิ่งแวดล้อมในการทำงาน
การทำงานในชีวิตประจำวันของคนเรานั้น จะต้องสัมผัสสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกันไป ทำให้แต่ละคนได้รับพิษภัย และการเกิดโรคอันเนื่องมาจากการทำงานแตกต่างกันไปตามสถานะภาพ ในหน้าที่การงานของแต่ละคน อันตรายจากสิ่งแวดล้อมในการทำงานพิจารณาได้ดังนี้
เสียงดัง คนทำงานโดยทั่วไปประมาณวันละ 8 ชั่วโมง จะรับระดับเสียงได้ไม่เกิน 90 เดซิเบล ถ้าดังเกินไปจะทำให้หูตึง และอาจหูหนวกได้
แสงสว่าง แสงสว่างมากเกินไป อาทิ เช่น จากเตาหลอม ไฟเชื่อม ทำให้ตาฝ้า ตามัว และอาจบอดได้
ความร้อน ถ้าไม่มีการป้องกันความร้อนที่ดีแล้วอาจได้รับอันตรายจากความร้อน เช่น ทำให้อ่อนเพลียไม่มีแรง หน้ามืดบ่อย ๆ และอาจเป็นลมสลบได้
ความกดดัน อากาศในบริเวณปฏิบัติงานที่มีความกดดันสูงกว่าปกติ จะทำให้เกิดอาการปวดหู อาจทำให้เยื่อหูฉีกขาด และทำให้หูหนวกในที่สุด
ความสั่นสะเทือน อาจทำให้ เนื้อเยื่ออ่อนของมือ เกิดอาการอักเสบลุกลามไปถึงกระดูกข้อมือ หรือทำให้กล้ามเนื้อมือเป็นอัมพาตหรือทำให้อวัยวะบางส่วนลีบได้
สารเคมี ฝุ่น ไอ ควัน ละอองแก๊ส ของสารพิษสามารถเข้าสู่ร่างกายได้ 3 ทางคือ
โดยการหายใจ สารเคมีเมื่อเข้าไปถึงปอดจะถูกดูดซึมอย่างเร็วทำให้เกิดโรคปอดได้
โดยการดูดซึมทางผิวหนัง ทำให้ผิวหนังเป็นแผล เกิดอาการเป็นพิษต่อ ระบบหมุนเวียนโลหิตของร่างกายโดยการกินเข้าไป
สิ่งที่อาจก่อให้เกิดอันตราย
การปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้องกับวัสดุบางชนิดอาจก่อให้เกิดอันตรายได้ วัสดุเหล่านี้ได้แก่ วัสดุที่มีขอบแหลมคม วัสดุที่วางไว้ในที่ที่ไม่เหมาะสม เช่น ไม่มีสิ่งจับยึด แขวนไว้เหนือศีรษะโดยไม่มีเครื่องป้องกันอันตราย หรือวางไว้เกะกะบนพื้น วัสดุที่ติดไฟได้ง่าย เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง ขยะมูลฝอย สารเคมีที่เป็นพิษ วัสดุที่มีอุณหภูมิสูง เช่น โลหะที่เผาจนร้อนจัด น้ำร้อน ไอน้ำหรืออากาศที่มีความดันสูง เช่น หม้อไอน้ำ เครื่องปั้มลม สื่อไฟฟ้าที่ปราศจากฉนวนหุ้ม บันไดที่หัก หรือนั่งร้านที่ไม่แข็งแรงนั่นเอง
หลักความปลอดภัยในการทำงานโดยทั่วไป
* จะต้องยอมรับ และปฏิบัติตามกฎความปลอดภัยของโรงงานโดยเคร่งครัด 
* ใช้เครื่องมือให้ถูกวิธี ถูกขนาด และถูกกับงาน 
* แต่งกายให้ถูกต้องตามระเบียบของโรงงาน และใช้เครื่องป้องกันอันตรายทุกครั้งที่ปฏิบัติงานที่กำหนดให้ใช้เครื่องป้องกัน 
* หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ เครื่องมือหรือเครื่องจักรที่ชำรุดเสียหาย หรืออยู่ในสภาพที่ไม่เหมาะสมต่อการใช้งาน 
* เก็บรักษาอุปกรณ์ และเครื่องมือที่ใช้ในการทำงานให้เป็นระเบียบเรียบร้อยอยู่เสมอ เมื่อนำไปใช้งานต้องเก็บไว้ให้ถูกจุดทุกครั้ง 
* รักษาความสะอาดทางเดินในโรงงาน และติดป้ายแสดงให้ชัดเจนที่บริเวณปฏิบัติงานที่มีอันตราย 
* รู้จักตำแหน่ง หรือที่ติดตั้งเครื่องดับเพลิงตลอดจนวิธีการใช้ 
* ปฏิบัติตามคำเตือนหรือเครื่องหมายแสดงอันตรายใด ๆ ภายในโรงงาน 
* อย่าวิ่งหรือหยอกล้อกันในโรงงาน 
* ในกรณีเกิดอุบัติเหตุให้รีบช่วยเหลือทันที

ความปลอดภัยในการใช้คอมพิวเตอร์

10 วิธีในการทำงานให้ปลอดภัยยิ่งขึ้น

            ความปลอดภัยของคอมพิวเตอร์และข้อมูลของคุณนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับคุณและการประสบความสำเร็จของบริษัท ข้อมูลที่สูญหายหรือถูกโจรกรรมอาจเปิดเผยความลับของบริษัท ข้อมูลความลับ หรือข้อมูลส่วนบุคคลของคุณ ยิ่งคุณทำให้คอมพิวเตอร์ปลอดภัยเท่าใด ข้อมูลของคุณก็จะปลอดภัยมากขึ้นเท่านั้น ใช้เคล็ดลับ 10 ประการนี้เพื่อเรียนรู้วิธีที่จะช่วยปกป้องคอมพิวเตอร์ ข้อมูล และเครือข่ายบริษัทของคุณ
1. ความสามารถในการปกป้องเครือข่ายของคุณเอง
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณได้ติดตั้งโปรแกรมแก้ไขและการปรับปรุงของ Microsoft ครบแล้ว นอกจากการติดตั้งการปรับปรุงของ Windows และ Office แล้ว คุณอาจติดตั้งซอฟต์แวร์เพื่อเพิ่มความปลอดภัยอื่นๆ เช่น ไฟร์วอลล์ หรือ ซอฟต์แวร์ที่กำหนดเองเพื่อช่วยให้คุณเชื่อมต่อจากระยะไกลได้ การติดตั้งโปรแกรมทั่วไปเหล่านี้จะทำให้คอมพิวเตอร์และเครือข่ายของบริษัทปลอดภัยมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
2. การใช้รหัสผ่านที่มีความปลอดภัยสูง

รหัสผ่านคือปราการด่านแรกที่จะป้องกันไม่ให้ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าถึงคอมพิวเตอร์ของคุณได้ แต่ส่วนใหญ่มักไม่มีการใช้รหัสผ่านที่มีความปลอดภัยสูง รหัสผ่านที่เดาได้ง่ายจะทำให้ผู้ประสงค์ร้ายสามารถเข้าถึงคอมพิวเตอร์และเครือข่ายของคุณได้ง่าย รหัสผ่านที่มีความปลอดภัยสูงนั้นสามารถแคร็กได้ยาก แม้จะใช้ซอฟต์แวร์แคร็กรหัสผ่านรุ่นใหม่ล่าสุด
รหัสผ่านที่คาดเดายาก ควรมีลักษณะดังนี้
  • มีความยาวอย่างน้อย 8 อักขระ
  • ไม่มีชื่อผู้ใช้ ชื่อจริง หรือชื่อบริษัทของคุณในรหัสผ่าน
  • ไม่มีคำเต็มที่มีในพจนานุกรม
  • แตกต่างจากรหัสผ่านเดิมโดยสิ้นเชิง รหัสผ่านที่ถูกเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย เช่น Password1Password2Password3 เป็นรหัสผ่านที่คาดเดาได้ง่าย
  • มีอักขระประเภทต่างๆ ดังต่อไปนี้
    • อักขระตัวพิมพ์ใหญ่และ/หรือตัวพิมพ์เล็ก
    • ตัวเลข
    • สัญลักษณ์ (!,@,#,$,%, etc.)
3. อย่าเปิดใช้ตัวเลือก บันทึกรหัสผ่าน

สร้างเงื่อนไขให้คุณหรือบุคคลอื่นที่พยายามเข้าใช้งานคอมพิวเตอร์ของคุณต้องใส่รหัสผ่านสำหรับระบบปฏิบัติการหรือการตั้งค่าโปรแกรมประยุกต์ทั้งหมด ถ้ามีกล่องโต้ตอบเสนอตัวเลือกการช่วยจดจำรหัสผ่านเพื่อไม่ให้คุณต้องพิมพ์รหัสผ่านเอง ให้เลือก ไม่ การอนุญาตให้มีการบันทึกรหัสผ่านมีค่าเทียบเท่ากับการไม่มีรหัสผ่านเลย
4. ใช้การใช้งานแฟ้มร่วมกันบนเครือข่ายแทนการใช้งานแฟ้มร่วมกันในเครื่อง

แทนที่จะเปิดให้เพื่อนร่วมงานเข้าถึงข้อมูลในเครื่องของคุณ ให้ใช้การใช้งานแฟ้มร่วมกันบนเครือข่ายเพื่อทำงานบนเอกสารร่วมกัน และจำกัดสิทธิ์การเข้าใช้งานแฟ้มเหล่านั้นแก่ผู้ที่จำเป็นเท่านั้น ถ้าคุณทำงานเป็นทีม คุณยังมีตัวเลือกอื่นๆ อีก ตัวอย่างเช่น Microsoft SharePoint Workspace 2010 (ภาษาอังกฤษ)
5. ล็อกคอมพิวเตอร์เมื่อลุกจากโต๊ะทำงาน

ถ้าคุณจะไม่อยู่ที่โต๊ะทำงานเป็นเวลานาน อย่าลืมตรวจสอบว่าคุณล็อกคอมพิวเตอร์แล้ว
เมื่อต้องการล็อกคอมพิวเตอร์ ให้ทำดังนี้
  1. กด CTRL+ALT+DELETE พร้อมกันบนแป้นพิมพ์
  2. คลิก ล็อกคอมพิวเตอร์นี้ (หรือถ้าคุณใช้งาน Windows XP คลิก ล็อกคอมพิวเตอร์)
  3. เมื่อต้องการปลดล็อกคอมพิวเตอร์ของคุณ ให้กด CTRL+ALT+DELETE แล้วใส่รหัสผ่าน
6. ใช้การป้องกันด้วยรหัสผ่านบนตัวรักษาหน้าจอ

ในบางครั้งคุณอาจไม่อยู่ที่โต๊ะนานกว่าที่คาดไว้ ให้วางแผนรับมือสถานการณ์นี้ด้วยการตั้งให้คอมพิวเตอร์ล็อกตัวเองหลังจากที่คุณไม่อยู่ที่โต๊ะตามเวลาที่กำหนด
เมื่อต้องการสร้างการป้องกันด้วยรหัสผ่านบนตัวรักษาหน้าจอใน Windows 7
  1. ให้คลิกขวาบนพื้นที่ว่างบนเดสก์ท็อป
  2. คลิก คุณสมบัติ แล้วคลิกส่วน ตัวรักษาหน้าจอ
  3. เปลี่ยน เวลาสำหรับการรอ เป็น 10 นาที หรือน้อยกว่านั้น
  4. เลือก เมื่อกลับมาดำเนินการต่อ ให้แสดงหน้าจอการเข้าสู่ระบบ
  5. คลิก นำไปใช้
เมื่อต้องการสร้างการป้องกันด้วยรหัสผ่านบนตัวรักษาหน้าจอใน Windows Vista
  1. ให้คลิกขวาบนพื้นที่ว่างบนเดสก์ท็อป
  2. คลิก คุณสมบัติ แล้วคลิกส่วน ตัวรักษาหน้าจอ
  3. เปลี่ยน เวลาสำหรับการรอ เป็น 10 นาที หรือน้อยกว่านั้น
  4. เลือก เมื่อกลับมาดำเนินการต่อ ให้ป้องกันด้วยรหัสผ่าน
  5. คลิก นำไปใช้
เมื่อต้องการสร้างการป้องกันด้วยรหัสผ่านบนตัวรักษาหน้าจอใน Windows XP
  1. ให้คลิกขวาบนพื้นที่ว่างบนเดสก์ท็อป
  2. คลิก คุณสมบัติ แล้วคลิกแท็บ ตัวรักษาหน้าจอ
  3. เปลี่ยน เวลาสำหรับการรอ เป็น 10 นาที หรือน้อยกว่านั้น
  4. เลือก เมื่อกลับมาดำเนินการต่อ ให้ป้องกันด้วยรหัสผ่าน
  5. คลิก นำไปใช้
7. เข้ารหัสแฟ้มที่มีข้อมูลความลับหรือแฟ้มที่มีข้อมูลสำคัญทางธุรกิจ
ข้อมูลที่มีค่าและมีความสำคัญสูงถูกเก็บไว้ในคอมพิวเตอร์ของคุณ คุณอาจมีข้อมูลที่ไม่ต้องการเปิดเผยเกี่ยวกับบริษัทหรือลูกค้า หรือข้อมูลการบัญชีธนาคารส่วนตัวของคุณเก็บไว้ในแล็ปท็อปที่คุณใช้ที่บ้านและที่ทำงาน การเข้ารหัสข้อมูลของคุณจะทำให้ข้อมูลเหล่านั้นปลอดภัยที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อต้องการป้องกันไม่ให้บุคคลที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าถึงข้อมูลของคุณ หรือเมื่อคอมพิวเตอร์ของคุณสูญหายหรือถูกขโมย คุณควรเข้ารหัสข้อมูลที่มีความสำคัญทั้งหมด ใน Windows Vista รุ่น Enterprise และรุ่น Ultimate คุณสามารถใช้ BitLocker? Drive Encryption เพื่อเข้ารหัสไดรฟ์ทั้งไดรฟ์ ใน Windows XP และ Windows Vista ทุกรุ่น คุณสามารถใช้ Encrypting File System (EFS) เพื่อป้องกันแฟ้มที่มีความสำคัญ เราขอแนะนำให้คุณศึกษาวิธีการเข้ารหัสแฟ้มหรือโฟลเดอร์เพื่อปกป้องให้มีความปลอดภัยอยู่เสมอ
8. อย่าเปิดอ่านอีเมลที่น่าสงสัย
ถ้าข้อความอีเมลดูน่าสงสัยข้อความนั้นอาจไม่น่าไว้วางใจ ให้ส่งต่อข้อความนั้นไปยังผู้ดูแลระบบ IT เพื่อทำการตรวจสอบก่อนที่คุณจะเปิดข้อความนั้น
9. เข้ารหัสข้อความอีเมลเมื่อเหมาะสม
เมื่อคุณส่งข้อความที่เป็นความลับหรือข้อมูลทางธุรกิจที่สำคัญ ให้เข้ารหัสอีเมลและแฟ้มใดๆ ก็ตามที่แนบกับข้อความนั้น เฉพาะผู้รับที่มีคีย์ส่วนตัวซึ่งตรงกับคีย์สาธารณะที่คุณใช้เข้ารหัสจึงจะสามารถเปิดอ่านข้อความนั้นได้
10. การใช้ตัวกรองอีเมลขยะใน Outlook
การได้รับสแปมหรือข้อความอีเมลขยะไม่เพียงแต่น่ารำคาญเท่านั้น สแปมบางฉบับยังอาจมีไวรัสที่อาจทำอันตรายต่อคอมพิวเตอร์ของคุณและเครือข่ายของบริษัทได้ ตัวกรองอีเมลขยะ สามารถลดจำนวนอีเมลขยะหรือสแปมที่คุณได้รับในกล่องขาเข้าของคุณได้ ถ้าตัวกรองอีเมลขยะของคุณเปิดใช้งานอยู่แล้ว นั่นเป็นข่าวดี แต่คุณสามารถเปลี่ยนการตั้งค่าได้ทุกเมื่อ